วิธีดูสถิติร้านออนไลน์อย่างง่าย

ในการทำธุรกิจขายของ ข้อมูลถือว่าเป็นของมีค่าที่สุดนะคะ เพราะจะช่วยให้เราสามารถนำมาพัฒนาธุรกิจได้ อย่างที่เขาพูดกันว่า “เปลี่ยนข้อมูลเป็นกำไร” นอกจากนั้นยังช่วยให้เราวัดผลการทำงานของตัวเองได้ด้วย วันนี้สิ่งที่พิมเพลินจะขอเอามาเล่าให้ทุกคนฟัง คือ “ข้อมูลเชิงสถิติ” ค่ะ แต่อย่าเพิ่งร้องยี้นะคะ เพราะมันไม่ได้ยากหรือซับซ้อนอย่างที่คิดเลยค่ะ

 

โดยสถิติที่เราจะมาดูกันในวันนี้ คือสถิติของร้านค้าออนไลน์ค่ะ ซึ่งต้องเป็นร้านค้าที่สมัครใช้ระบบของ Page365 แล้ว และใช้ซื้อขาย ตอบบทสนทนาผ่านระบบของเราอย่างน้อย 7 วัน (เพื่อให้มีข้อมูลพอที่จะเปรียบเทียบค่ะ) วิธีดูก็ง่ายๆ เลย เพียงเข้าไปที่หน้า “สถิติ” ของเพจคุณในระบบ Page365 เลยค่ะ

 

feture-analytic

 

เมื่อเข้ามาแล้วต้องดูอะไรบ้าง? แต่ละอย่างช่วยบอกอะไร?

จำนวนลูกค้าที่สนทนา – บอกความดึงดูดของร้านและสินค้า

มีคนสนใจสินค้าของคุณเยอะถึงขนาดเข้ามาสอบถามเยอะแค่ไหน ซึ่งจะดูเปรียบเทียบกับการโพสต์สินค้าลงหน้าเพจเฟสบุ๊ค หรือการโฆษณาด้วยก็ดีนะคะ มันจะบอกได้ว่าโฆษณาของเราทำงานได้ดีแค่ไหน ช่วงไหนลูกค้าหาย เราลงโฆษณารึเปล่า ลงตัวไหน

*สถิติตัวนี้ดีกว่าการนั่งดูจำนวนไลค์ คอมเมนต์ แชร์ เพราะสิ่งเหล่านี้ถึงจะดี แต่ก็ไม่ได้สร้างยอดขายเพิ่มให้คุณ ลูกค้าอาจจะชอบแต่ก็ไม่ได้อยากซื้อจริงๆ

 

จำนวนการเปิดบิล – บอกว่าคุณปิดการขายด้วยการสนทนาได้ดีแค่ไหน

จากการสนทนา คุณทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้มากแค่ไหน ถ้าคุณดูสถิติเป็นเดือนหรือเป็นปี ก็จะรู้ได้เลยว่าช่วงไหนลูกค้าสั่งซื้อสินค้าเยอะ ยกตัวอย่างเช่น สถิติอาจทำให้เห็นว่าช่วงปลายอาทิตย์จะมีออเดอร์มากเป็นพิเศษ ทำให้คุณสามารถเตรียมพร้อมรับมือ หรือไม่ก็เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ในช่วงนี้

 

จำนวนลูกค้าที่ชำระเงินแล้ว – บอกว่ามีจำนวนลูกค้าที่สั่งแล้วจ่ายเงินสำเร็จเยอะเท่าไหร่

หลังคอนเฟิร์มออเดอร์ด้วยบิลแล้ว มีลูกค้าไปโอนเงินให้คุณจริงๆ กี่คน ถ้าน้อยกว่าจำนวนการเปิดบิลมาก คุณอาจต้องมาหาสาเหตุแล้วว่าทำไมลูกค้าถึงตัดสินใจไม่สั่งซื้อ ปัจจัยหลักๆ ก็มีอยู่ไม่มากนะคะ พิมเพลินเคยเขียนถึงแล้วในบทความเรื่อง หมัดเด็ดเคล็ดลับป้องกันการยกเลิกออเดอร์ สามารถคลิ๊กเข้าไปอ่านกันได้เลยค่ะ 🙂

 

ยอดขายของคุณ – บอกว่าคุณมีรายได้เท่าไหร่ ธุรกิจเติบโตขนาดไหน

ในแต่ละเดือนคุณทำเงินได้เท่าไหร่ คุ้มค่ากับความเหนื่อยและเงินค่าโฆษณาหรือเปล่า ถ้าไม่คุณพ่อค้าแม่ค้าอาจต้องปรับกลยุทธการขาย หรือเลือกขายสินค้าที่ให้กำไรสูงกว่าเดิมมาขายเพิ่ม

 

อันดับสินค้าขายดี – บอกว่าลูกค้าชอบสินค้าแบบไหน

การรู้ว่าสินค้าชิ้นไหนขายดี จะช่วยให้รู้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านชอบสินค้าแบบไหน รู้ว่าควรจะสั่งอะไรมาขายเพิ่ม

*สินค้าขายดีดึงข้อมูลมาจากจำนวนการขายผ่านบิลออนไลน์ ถ้าคุณพ่อค้าแม่ค้าไม่ได้เปิดบิลออนไลน์เวลาขาย ก็จะไม่มีการแสดงผลตรงนี้นะคะ

 

ประเมิน & ปรับแผน

1. จำนวนลูกค้าที่สนทนา จำนวนเปิดบิล และจำนวนลูกค้าที่ชำระเงินสอดคล้องกันไหม

– ถ้าลูกค้าสนทนาเยอะ แต่คุณเปิดบิลน้อย แปลว่าคุณปิดการขายไม่ได้ คุณต้องปรับวิธีการพูด การขายของให้ดียิ่งขึ้น

– ถ้าหากคุณเปิดบิลเยอะ แต่มีจำนวนลูกค้าที่ชำระเงินแล้วน้อย แปลว่าคุณลูกค้าอาจรู้สึกเสียดายเงิน หรือระหว่างที่รอการโอนเงินเขาเจอสินค้าที่ถูกใจกว่า ถ้าเป็นมากๆ คุณอาจต้องสำรวจตลาด ดูร้านคู่แข่งว่าเขาตั้งราคายังไง ลองปรับราคา และทำให้สินค้าดูน่าสนใจขึ้น

 

2. ยอดขายเพิ่มขึ้นหรือลดลง

ในการทำธุรกิจ ถึงแม้จะเป็นการขายของออนไลน์ เราควรตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป็นแรงผลักดันที่จะกระตุ้นให้เราทำงาน และเพื่อเป็นการพัฒนาให้ธุรกิจเติบโต ถ้าเดือนนี้คุณขายได้ 20,000 บาท ลองตั้งเป้าให้เดือนขายเพิ่มขึ้นได้เป็น 25,000 ดู หรือถ้าหากคุณมียอดขายลดลงเรื่อยๆ คุณอาจต้องประเมินหน้าร้านของตัวเอง สินค้ามีความแปลกใหม่หรือยัง

 

3. สินค้าขายดี

สินค้าที่ขายดีที่สุด อาจไม่ใช่สินค้าที่คุณเจ้าของร้านชอบที่สุดก็ได้ การดูข้อมูลตรงนี้ จะทำให้เรารู้ว่าควรสั่งสินค้าประเภทไหนมาขาย และควรเลิกสั่งสินค้าประเภทไหน หรือบางทีถ้าคุณดูสถิติย้อนหลังเป็นปี คุณก็อาจจะเห็นว่าในช่วงฤดูร้อนลูกค้าชอบสินค้าประเภทหนึ่งมากกว่า ส่วนในช่วงฤดูหนาวกลับชอบสินค้าที่ขายไม่ได้ในฤดูอื่นๆ แค่นี้คุณก็สามารถวางแผนสั่งสินค้าเพื่อนำมาขายได้อย่างมีระบบ ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องขายไม่ออกได้อีกด้วย

หากคุณสนใจใช้งาน Page365 คุณสามารถ สมัครใช้งานฟรี

หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เริ่มต้นกับ Page365 หรือ ทำไมเราถึงฟรี?

(Visited 5,109 times, 1 visits today)
Pimploen


This entry has 0 replies

Comments are closed.